ปกรณ์ จารุจิตติพันธ์
อาทิตย์นี้ (1 ก.พ.)เริ่มต้นด้วยความเอื่อยเฉื่อยและเมื่อยล้า เหมือนเมืองยังหลับใหลตื่นสายเพราะเพิ่งผ่านการฉลองใหญ่จนหมดกำลัง เป็นเช้าที่สบายและผ่อนคลายจนคิดสงสัยว่าจะมีใครมาหรือเปล่า
ผิดคาด พี่วิเชียรมาเช้ากว่าทุกวันจนมีเวลาไปกินข้าวต้มเกาเหลา พี่อารีย์ตามมาทีหลัง ส่วนครอบครัวสามสาวกับหมาน้อยหนึ่งตัววันนี้มีสมาชิกหนุ่มน้อยเพิ่มอีกหนึ่ง ก็เริ่มวาดกันสบายๆ ชอบแบบไหนก็วาดกันตามใจฉัน น้องคนหนึ่งวาดรูปวงดนตรีด้วยโทนเขียว ถามไถ่ได้ความว่าชื่อวงมายด์ หลายคนส่ายหน้าบ่นเหมือนกันว่าไม่รู้จัก และคงแอบคิดต่อในใจว่าสงสัยจะแก่แล้วจริงๆ
อย่างนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าช่องว่างระหว่างวัย ต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวจนปรับจูนกันไม่ทัน
ส่วนอีกคนออกไปวาดรูปเขียนกระดาน พร้อมข้อความที่ว่า “ART = ศิลปะ และศิลปะก็คือสิ่งที่อยู่เหนือเหตุผล ไม่มีที่สิ้นสุด และมากกว่าคำว่า “จินตนาการ”
เพิ่งรู้ว่า ศิลปะ มีนิยามเหมือนผู้หญิง “อยู่เหนือเหตุผล ไม่มีที่สิ้นสุด มากกว่าจินตนาการ”
นั่งกันเพลินๆ น้องฟิวเจอร์จากร้านดอกไม้หน้าตลาดก็มาร่วมแจม พ่อขับมอเตอร์ไซด์มาส่งพร้อมทิ้งมือถือไว้ให้ บอกว่าจะกลับเมื่อไหร่ให้โทรบอกจะมารับ
น้องคงงงๆ ไม่รู้จะวาดอะไร ใครๆก็บอกว่าวาดไปเลย อยากวาดอะไรวาดไปเลย นั่งสักพักเริ่มเห็นโดเรม่อนโผล่บนกระดาษ ชวนวาดต่อสุดท้ายกลายเป็นไอ้มดแดง เราวาดวี 3 ฟิวเจอร์วาดวี 4 กับ อเมซอน
ฟิวเจอร์เหมือนแม่เหล็กเรียกแขก สักพักเด็กๆแถวบ้านเริ่มเข้ามา จากที่คิดว่าจะเลิกตอนบ่ายโมงเหมือนทุกที อาทิตย์นี้จึงลากยาวจนเกือบสี่โมงเย็น
พี่วิเชียรและครอบครัวสามสาวหนึ่งหนุ่มกลับไปตอนเที่ยงหน่อยๆ เหลือก๊วนเด็กที่ยังนั่งกันสนุก ยูเอกับทีจีตามมาสมทบพร้อมแม่นิ่ม ที่พาเค้กกล้วยหอมทำมือสามกล่องใหญ่มาให้ทุกคนชิม เด็กคนไหนมีทีท่าไม่สนใจเค้ก คุณแม่จับป้อนเข้าปาก “อร่อยละซิ” แม่นิ่มพูดงั้น
หลังจากรวมตัวเป็นก๊วนใหญ่ วงวาดรูปเริ่มกลายเป็นเล่นอย่างอื่น ฟิวเจอร์โชว์ท่าเตะสูง และท่ารำเทควันโด ส่วนทีจีรูปไม่วาดแต่ป่วนสมาธิชาวบ้านด้วยเกมกด จนที่สุดเด็กผู้ชายไปต่อคิวรอเล่นเกม เหลือแต่ผู้หญิงที่ยังจริงจังกับการวาดรูป

Comment #1ดีค่ะ
